ข่าวประชาสัมพันธ์
กลุ่มเซ็นทรัล คว้ารางวัล ‘CLIMATE ACTION AWARDS’
บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลได้เผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ต่อการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ตลอดจนผู้ค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และชุมชนก็ล้วนแต่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ในฐานะเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลจึงยึดถือให้ความสำคัญที่จะสร้างสรรค์ขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องด้วยหลักการ Creating Shared Value (CSV) การสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างธุรกิจและสังคม สนับสนุนให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น และตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ จนสามารถบรรลุเป้าหมายการสร้างรายได้ให้ชุมชนได้ถึง 1,500 ล้านบาทในปี 2563 ที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน อีกปัญหาท้าทายที่สำคัญไม่แพ้กันคือ วิกฤตปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เผชิญในขณะนี้ อาทิ วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาหมอกควัน ปัญหาขยะ และการเสื่อมโทรมของทรัพยากร ก็ถือเป็นประเด็นหลักที่บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ในปี 2564 บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลจึงได้ดำเนินยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคมไปพร้อมกัน โดยตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยการนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการแก้ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยการบูรณาการไปกับแผนดำเนินธุรกิจ พร้อมดำเนินโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีโครงการ “เซ็นทรัลทำ” ที่กำหนดเป้าหมายฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 5,000 ไร่ ภายในปี 2574 และตั้งเป้าหมายลดลงขยะให้ได้ร้อยละ 30 ต่อปี รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมภายในและรอบศูนย์การค้าให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมชุมชนในการสร้างอาชีพยั่งยืน การทำเกษตรอินทรีย์ การแปรรูป การพัฒนาสินค้า และการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ผ่านวิสัยทัศน์ในการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเข้าถึงทุกกล่มของสังคม (inclusive) ด้วยหลัก CSV และการผนึกกำลังดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชน (collective collaboration for collective impacts)
บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล ได้ดำเนินหลายโครงการด้านสิ่งแวดล้อมมากมายภายใต้ Campaign ชื่อ Central Group Love the Earth โดยมีโครงการ Journey to Zero ภายใต้กรอบดำเนินงานเพื่อเป้าหมายในการลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (single-use plastic reduction) และหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (recycling and up cycling) การจัดการคัดแยกขยะ (waste segregation) และลดการสร้างขยะอาหาร (food waste reduction) โดยในปี 2020 สามารถลดขยะพลาสติกได้ถึง 236 ล้านชิ้น และบริจาคอาหารที่เกินจากการขายให้กับกลุ่มเปราะบาง 203,778 กก. คิดรวมเป็นจำนวน 855,869 มื้อ นอกจากประเด็นขยะแล้ว บริษัทกลุ่มเซ็ลทรัลยังมีการดำเนินแผนงานฟื้นฟูป่าต้นน้ำสร้างพื้นที่สีเขียว โดยตั้งแต่ปี 2561 จนปัจจุบัน ได้ฟื้นฟูป่าต้นน้ำไปแล้ว 1,033 ไร่ ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน ลดปัญหาโลกร้อนแล้ว ยังเป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรที่จะเป็นทุนให้กับชุมชนในการประกอบอาชีพและสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืนให้กับชุมชน ตามประสงค์ของโครงการ ได้ป่าฟื้นคืน ได้อาชีพยั่งยืน ได้อาหารปลอดภัย
จากการดำเนินงานด้านการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในวันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา FeedUp@UN โดยองค์การสหประชาชาติร่วมกับ สมาคมการตลาดเพื่อเกษตรและอาหารแห่งเอเชียแปซิฟิก ( AFMA) ได้มอบรางวัล ‘Climate Action Awards’ ให้กับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล ในฐานะเป็นองค์กรขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ 2 เป้าหมายหลัก;
การปลูกป่าฟื้นฟูป่า ส่งเสริมอาชีพยั่งยืน อาหารปลอดภัย สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชุมชน (Forest Restoration) ร่วมกับ FLR 349 โดยสามารถกักเก็บคาร์บอน (carbon sequestration) ได้รวม 39,353,527 KgCo2e จากพื้นที่ฟื้นป่า 1,033 ไร่
การจัดการขยะอาหาร (Food Waste/ Food Surplus) โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2563 ได้ทั้งสิ้น 862,109 KgCo2e. จากการคัดแยกขยะอินทรีย์ และบริจาคอาหารส่วนเกิน
ปี | ขนาดพื้นที่ | ปริมาณการกับเก็บคาร์บอน (kg CO2eq.10yr-1) |
พื้นที่ |
---|---|---|---|
Central Group (2019) | 32 Hectare(200 Rai) | 6,697,408 | บ้านแม่ขี้มูก ตำบลบ้านทับ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (Lat 18.464431 Long 98.306489) |
Central Group (2019) | 41.12 (257 Rai) | 8,606,169 | บ้านนาน้อย ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน (Lat 18.332209, Long 100.636999) |
Central Group (2018) | 80 Hectare (500 Rai) | 16,743,500 | วิสาหกิจกาแฟอินทรีย์รักษ์ป่าภูชี้เดือนตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย |
Central Group (2018) | 10.08 Hectare (63 Rai) | 2,109,681 | ตำบางยอ และตำบลบางน้ำผึ้ง คุ้งบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ |
Central Group (2021) | 22.75 Hectare (143 rai) 21,300 plants | 4,761,438.50 | บ้านอมเม็ง และบ้านกองแขกเหนือ ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (Lat 18.435880, Long 98.399585) |
Central Group (2018) | 2.08 Hectare (13 rai) | 435,331 | บริเวณจุดชมวิวชายทะเล ป่าชายเลน บางขุนเทียนชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพฯ |
ปริมาณการลดขยะอาหาร (ตัน) | ปริมาณการลดการปล่อยคาร์บอน (KgCO2e) | |
---|---|---|
การลดขยะอาหาร | ||
FamilyMart and Central Pattana (5 Branches) | 254 | 482,600 |
บริจาคอาหารส่วนเกิน (Food Surplus) | ||
TOPS, FamilyMart, Centara Resort and Spa, Mister Donut | 200 | 379,509 |
รางวัล ‘Climate Action Awards ถือเป็นกำลังใจสำคัญที่บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลจะดำเนินงานด้านพัฒนางานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อไปไม่หยุดยั้ง บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลเป็นภาคธุรกิจที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ และจึงต้องเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการผลิตและบริโภคของประเทศสู่จุดสมดุล ไม่สร้างภาระให้แก่สิ่งแวดล้อม การสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างธุรกิจ และสังคม การทำประโยชน์ให้สังคมและสิ่งแวดล้อมจะเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจของบริษัทกลุ่มเซ็นทรัลจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้” คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าว
ในการดำเนินโครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำนั้น ทางบริษัทกลุ่มเซ็ลทรัล ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม เช่น องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) มูลนิธินววัตกรรมเกษตรอินทรีย์ไทย และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ภายให้ชื่อโครงการ FLR349 ฟื้นป่าต้นน้ำ สร้างอาชีพยั่งยืน ส่งเสริมระบบอาหารปลอดภัย โดยได้น้อมนำศาสตร์พระราชาป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่างในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนอาชีพให้แก่เกษตรกรจากการทำพืชเชิงเดี่ยวใช้เคมีในป่าต้นน้ำ สู่การทำเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสาน พร้อมกับปลูกไม้ป่ายืนต้น ซึ่งนอกจากจะสามารถเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมป่าต้นน้ำแล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารและอาชีพที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ท๊อปส์ซูเปอร์มาเก็ต ยังเน้นการสนับสนุนรับซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์จากชุมชน รวมถึงการจัดตั้งให้มี “ตลาดจริงใจ” ซึ่งเป็น farmers market อย่างแท้จริง ที่ได้มีการนำผลผลิตทางการเกษตรที่ปลูกแบบอินทรีย์จากชุมชนในพื้นที่มาขายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเป็นการปลูกอย่างจริงใจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีต่อสุขภาพของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
“ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน นอกจากประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤติการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้ทุกภาคส่วนเกิดความยากลำบาก โดยเฉพาะปัญหาปากท้องแล้ว เรายังได้ประสบปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างสาหัส ทั้งไฟป่า ภัยแล้ง ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าต้นน้ำที่หล่อเลี้ยงคนทุกคน รวมถึงปัญหาการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นซึ่งก่อให้เกิดปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อคนทุกคน แนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้คือการที่ภาคธุรกิจต้องเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาและสร้างสิ่งแวดล้อมให้ดีกลับคืนมา รวมถึงการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชนด้วยการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน เช่น เกษตรกรรมยั่งยืนที่จะเป็นภูมิคุ้มกันให้ชุมชนในภาคเกษตรกรรมที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศมีความเป็นอยู่ที่ดี สามารถพึ่งพาตัวเองได้” คุณพิชัย จิราธิวัฒน์ กล่าวเสริม
ปัจจุบันบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล ได้สนับสนุนให้เกิดพื้นที่เกษตรกรรมอินทรีย์ไป 591 ตำบล 23 จังหวัดโดยเป็นตลาดรับซื้อผลิตภัณฑ์เกษตรจากชุมชนมากถึง 1,100 ล้านบาท มีเกษตรกรได้รับประโยชน์ 3,529 ครัวเรือน และได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นร้อยละ20 ต่อปี
การดำเนินการทั้งหลายนี้เป็นการนำวิธีทางธรรมชาติ (nature-based solutions) และจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติโดยชุมชนเอง (community- based natural resource management) มาประยุกต์ใช้เป็นโมเดลในการแก้ปัญหา และตั้งเป้าหมายในการขยายพื้นที่ (scale up) กระจายสู่ชุมชนในหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ในการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมนี้ บริษัทกลุ่มเซ็นทรัลได้จัดงบประมาณจะลงทุนเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นภาคีพันธมิตรกับทุกภาคส่วนและทุกองค์กรในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มระดมทุนสนับสนุนธุรกิจ startups ที่ช่วยแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม และการปลูกป่าฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ และการสร้างแพลตฟอร์มเชื่อมเครือข่ายเกษตรกรต้นน้ำสู่ปลายน้ำผู้บริโภค และสนับสนับสนุนการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้เป็นทางป้องกันและแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน